การเริ่มต้น
อรรถชัย ศรีวรภัทร เริ่มมาจากที่ชอบภาษาอังกฤษ แต่ก็เริ่มต้นจากการเลือกเรียนสายวิทย์ ในโรงเรียนประจำจังหวัด จบ ป.ตรี จาก มหาวิทยาลัยศิลปากร และ ปัจจุบันเป็นครูในโรงเรียนบ้านเขาตั้ง เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนประมาณ 130 คน และ มีครูทั้งหมด 12 คน
สร้างความเปลี่ยนแปลง
ปกติการเป็นครู ก็คือ มีหน้าที่ยืนสอนเด็กหน้าห้อง ให้ความรู้ ดูแลใกล้ชิดเด็ก ถามว่ามันสร้างความเปลี่ยนได้มั๊ยมันก็ได้แหละ แต่เราว่ามันยังไม่พอ ก็เปรียบเหมือนตัวเองเป็นพลทหารคนนึงในสมรภูมิ ต่อให้รบเก่งหรือตายไป มันแทบไม่ส่งผลอะไรต่อผลลัพธ์ของสงครามเลยนะ เพราะงั้นถ้าจะพลิกเกมหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงจริงๆ เราต้องไปอยู่ในจุดที่คุมเกมได้ แก้ปัญหาด้วยวิธีใหม่ๆ เป็นส่วนหนึ่งในที่มา การตัดสินใจสอบเข้าเรียนต่อ ป. โท ในคณะบริหารการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่รับปีละ 30 คน แต่ผู้สมัครไม่ต่ำกว่า 200 คนจากทั่วประเทศ
ความท้าทาย
ความยากของการเป็นเด็กต่างจังหวัด คือ ต้องเดินทางไปเรียนเกือบทุกเสาร์-อาทิตย์ ในระยะเวลาเกือบ 2 ปี บางสิ่งที่ต้องรู้สึกตื้นเต้นก็กลายเป็นเบื่อหน่ายไปซะงั้น แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็ยังท้าทายได้เสมอ สิ่งที่น่าสนใจ คือ ได้ใช้เวลาทุกนาทีตลอดสัปดาห์อย่างมีคุณค่า เพราะอย่างเราอยู่กระบี่ เราจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันยืดหยุ่นได้ เรื่องของเวลาก็คล่องตัวกว่า แต่พอเรามีภาระงานทั้ง 7 วัน ที่ขยับเขยื้อนไม่ไ่ด้ ก็ทำให้มีทักษะตรงนี้เพิ่มขึ้นมาในตัว
และอีกอย่างที่ได้นำมาใช้พัฒนาในชีวิตประจำวัน ก็คือ การทำวิจัย เพราะปรัชญาของมันเลย เป็น ” การค้นหาความจริง “ ช่วยให้เราทำงานเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน การหาข้อมูล ที่เราต้องค้นคว้าอย่างละเอียด จนสุดท้ายกลั่นออกมาเป็นผล ตรงนี้ก็คิดว่าได้นำมาประยุกต์ใช้ และติดตัวมาเช่นกัน
การมองตัวเอง
จริงๆตอนแรกยังไม่รู้ตัวเองเลยว่า อยากเป็นยอดครูอังกฤษไปเลย หรือ จะเป็นสายบริหารไปเลย ส่วนนึงต้องขอบคุณ ผอ. ที่โรงเรียนแหละ เพราะแกทำให้เห็นตัวเองชัดขึ้น โดยการให้ลองมองตัวเองตอนอายุสัก 50 ปี ว่าอยู่ส่วนไหนของการศึกษา เห้ย!… ไม่เคยถามตัวเองกับคำถามนี้เลย เลยลองคิดว่าถ้ายังต้องสอนอยู่หน้าชั้นเรียน ภาพที่ได้ มันก็ไม่ใช่ตัวเราสักเท่าไหร่ ไม่เห็นภาพตัวเองในนั้น จินตนาการไม่ออก แต่พอมองว่าตัวเองกำลังทำงานในสายบริหาร กลับจินตนาการได้ต่อเรื่อยๆเลย
มุมมองในปัจจุบัน
คิดว่าไม่มีอะไรแน่นอน มีเพื่อนๆหลายคนที่จบมาแล้วเป็นครู แต่เป็นได้ 2-3 ปี ก็ออกมาก็มี หรือ การมีอาชีพมากกว่า 2 อาชีพ ก็ถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ตอนนี้คนที่ไม่พัฒนา แบบไม่ทำอะไรให้ตัวเองดีขึ้นเลย คิดว่ายาก เปรียบเปรยระหว่างตัวเรา กับ เทคโนโลยี เช่น เรายืนอยู่ตรงสายพานที่กำลังถอยหลัง เราเดินหน้าตัวเราก็ยังอยู่ที่เดิม เรายังไม่ไ่ด้เร็วกกว่าปกตินะ แล้วถ้าเรายืนเฉยๆเราจะเป็นยังไง
เป้าหมายขั้นต่อไป
ตอนนี้กำลังฝึกตัดต่อวิดีโอ การทำสื่อออนไลน์ กะว่าจะเอาความรู้ภาษาอังกฤษทั้งหมดของเราอัพขึ้นโลกออนไลน์ เผื่อวันนึงที่ไม่ได้ทำตรงนี้แล้ว ก็ยังได้ถ่ายทอดความรู้ที่มีให้คนอื่นอยู่ อีกเรื่องก็คือ กำลังฝึกคิดแบบผู้บริหาร และ เรียนรู้จากทั้ง ผอ. ของตัวเอง และผู้บริหารเก่งๆ ในแทบทุกวงการ ลองแก้ปัญหาต่างๆในแบบของเรา เปรียบเทียบหาข้อดีข้อเสียกับวิธีของคนอื่นๆ